วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

การอนุรักษ์นก

ที่จริงนกในประเทศไทย ในแต่ละภาคจะมีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับสภาพ ภูมิประเทศ แหล่งอาหาร ดินฟ้าอากาศถ้าดูนกกันอย่างจริงจังแล้วก็สามารถเดินทางไปดูได้ทุกแห่งทั่วประเทศ ตามแต่ฤดูกาลที่เอื้ออำนวยที่แตกต่างกันไป อย่างในฤดูหนาวก็จะมีนกอพยพที่มาจากต่างประเทศ เช่น ดอย อินทนนท์ก็ดีหรือเขาสามร้อยยอดก็ดี ล้วนเป็นแหล่งนกอพยพที่น่าสนใจทั้งสิ้น

ในปัจจุบันเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่คนไทยโดยเฉพาะคนรุ่นหนุ่มสาวหันมาสนใจเรื่องธรรม- ชาติกันมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่คงเริ่มต้นมาจากการดูนก จากชมรมดูนกที่ตั้งขึ้นโดยกลุ่มเอกชนที่เริ่มบุกเบิกใน เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่น่าชมเชยอย่างยิ่งที่เขามองไกลว่าการให้ความรู้กับคนดูนกทำให้คนรักและสนใจนก ซึ่งเป็น วิธีสำคัญของการอนุรักษ์นกและธรรมชาติ ในเมืองไทยเวลานี้ ไม่ว่าจะไปที่เขาใหญ่ บางพระ หรือที่ แก่งกระจาน จะมีคนหนุ่มสาวไปตั้งแคมป์ ออกส่องกล้องดูนกกันเป็นจำนวนมากทุกสุดสัปดาห์ การดูนกจำเป็นจะต้องได้ครูที่ดี ไม่เช่นนั้นอาจเบื่อได้ และกล้องดูนกต้องมี คุณภาพดีพอสมควร มิฉะนั้นดูไปก็อาจทำให้ปวดตาได้ นอกจากประชาชนทั่วไปที่สนใจการดูนกแล้ว ได้มี โรงเรียนระดับประถมและมัธยมศึกษาเป็นจำนวนมาก พยายามจัดให้มีกิจกรรมการดูนกมากขึ้น ซึ่งเป็น กิจกรรมนอกชั้นเรียนที่สำคัญ นำไปสู่การปลูกฝังให้มีการอนุรักษ์ธรรมชาติอย่างกว้างขวางได้ อย่างไรก็ตามกิจกรรมการพาเด็กไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติ หรือเขตห้ามล่าสัตว์ป่า ยังนับว่าทำกันน้อยมากในประเทศไทยซึ่งต่างกับประเทศที่เจริญแล้ว เช่นอเมริกาหรือยุโรปก็ดี พอถึงเวลา ปิดเทอมเขาก็จะพาเด็กๆไปท่องเที่ยวพักผ่อนสัมผัสธรรมชาติ อาจไปอยู่ตามเมืองในชนบทที่มีแหล่ง ท่องเที่ยวทางธรรมชาติหรือโบราณสถาน นี่คือวิธีการปลูกฝังการอนุรักษ์ให้กับเด็ก จริงอยู่ถ้าจะกล่าวว่าเขา รวยแล้วเขาเที่ยวได้ง่าย คนไทยไปเที่ยวได้ยากเพราะเงินเดือนน้อย แต่สิ่งเหล่านี้ค่อยเป็นค่อยไปก็ได้ พ่อแม่ ที่เป็นผู้ปกครองควรสละเวลาในวันหยุดพาเด็กๆไปสัมผัสกับธรรมชาติบ้าง ซึ่งไม่จำเป็นว่าจะต้องไปไกล ถึงดอยอินทนนท์ หรือห้วยขาแข้ง แต่อาจเลือกไปดูนกตามสถานที่ใกล้ๆ เช่น บางปูเขาดิน หรือสวนลุมพินี ก็ได้

ในเรื่องของการดูนกและอนุรักษ์นก คงต้องเริ่มตั้งแต่เด็กระดับประถม มัธยม เพราะเมืองไทยมีนกค่อนข้างมาก ไม่ว่าไปที่ไหนก็จะเจอแต่นกทั้งนั้น การดูนกจะเพลิดเพลินยิ่งขึ้นถ้าจะ ศึกษาข้อมูลสักนิดว่านกมีการอพยพย้ายถิ่นหากินด้วย แม้กระทั่งในเมืองเราก็ยังพบเห็นนกอพยพในบาง ฤดูกาล เช่นฤดูหนาวจะมีนกอพยพลงมาจากประเทศจีนและไซบีเรียเข้าสู่ไทยและเลยไปจนถึงภาคใต้ บางชนิดอพยพลงไปจนถึงทวีปออสเตรเลียก็มี เพราะฉะนั้นถ้าจะทำให้คนสนใจเรื่องนกจริงๆโดยเฉพาะ นักเรียนนักศึกษา เราจำเป็นต้องให้ข้อมูลเหล่านี้กับเขาด้วย และนกเป็นสิ่งที่จะทำให้คนมีใจรักธรรมชาติได้ง่าย ด้วยความสวยงามจากสีสันของขนนก ตัวมันเองจึงเป็นจุดดึงดูดที่ดีแต่ถ้าหากเรามองนกด้วยตาเปล่าแล้ว อาจจะไม่ให้ความสนใจในตัวมันมากเท่ากับการส่องดูนกด้วยกล้อง พร้อมทั้งศึกษาข้อมูลทางนิเวศของมันจาก ตำราดูนกควบคู่กันไปด้วย ถ้าเป็นคนช่างสังเกตก็จะเห็นว่า เมื่อถึงฤดูนกผสมพันธุ์มีครอบครัวน้น พอลูกนก ออกจากไข่แล้วมันจะมีพ่อแม่คอยเลี้ยงดูอยู่สักระยะหนึ่งอย่างเช่น นกกางเขนบ้าน บ้านเกือบทุกหลังแถบชาน เมืองมักจะมีนกชนิดนี้มาอาศัยอยู่ ซึ่งเราจะมองเห็นถ้าเราเป็นคนช่างสังเกต แต่มีปัญหาอยู่นิดเดียวว่าการดูนก ให้เกิดการปลูกฝังจิตสำนึกในการรักนก อนุรักษ์นก ควรจะต้องมีเครื่องมืออุปกรณ์ช่วยดู นั่นคือกล้องส่อง ทางไกลที่มีกำลังขยาย 8-10 เท่า เราจึงจะมองเห็นได้ว่านกมีความสวยงามแค่ไหนถ้าดูด้วยตาเปล่าแล้วนกตัว เล็กดูแล้วอาจไม่มีความน่าสนใจเท่าไรนัก

การอนุรักษ์นกกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ทั้งสองสิ่งนี้จำเป็นต้องกระทำควบคู่กันไป เพราะนกเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อมถ้าสภาพแวดล้อมไม่ดี นกก็อยู่ไม่ได้ นั่นก็หมายความว่านนกต้องการอยู่ ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ถูกทำลายง่าย ไม่มีใครไปยิงหรือว่ามีแหล่งอาหารให้หากินเพียงพอ นกบางชนิดหากินใน อากาศ บางชนิดหากินบนพื้นดิน ทำรังบนพื้นดิน นกไม่จำเป็นต้องทำรังบนต้นไม้เสมอไป ยังมีนกอีกหลายร้อย ประเภทที่ทำรังบนทุ่งหญ้า ซึ่งทุ่งหญ้าต่างๆเหล่านี้อาจมีกิจกรรมของมนุษย์ที่มีผลกระทบ เช่น การเดินทาง สัญจรผ่านไปมา การเลี้ยงสัตว์ ทำให้นกที่ทำรังบนทุ่งหญ้าต้องเสี่ยงต่อกรถูกทำลายได้ง่ายเหมือนกัน ประเทศที่เจริญแล้วมีการกำหนดพื้นที่อนุรักษ์ พื้นที่ห้ามล่าหรือพื้นที่สงวน เพื่อ กิจกรรมดูนกโดยเฉพาะ เขาจะไม่ให้มีกิจกรรมอื่นที่ไปทำลายสภาพแว้ดล้อมในพื้นที่เหล่านั้น ซึ่งเป็นเรื่อง น่าเสียดายที่บ้านเรายังดำเนินการไม่ได้

เขตห้ามล่าสัตว์ป่าบางพระมีพื้นที่ติดกับขอบอ่างเก็บน้ำ เป็นพื้นที่โล่งบริเวณกว้าง ขวาง พื้นที่เหล่านี้จริงๆ แล้วน่าที่จะห้ามไม่ให้นำวัวควายเข้าไปเลี้ยง หรือให้คนขับรถเข้าไปวางอวนลงแห เพราะจะต้องผ่านพื้นที่ที่นกทำรัง และเลี้ยงลูกเมื่อตอนยังเล็ก แต่กับมีรถวิ่งกันขวักไข่วไปหมดทางที่ดี ควรกันพื้นที่เพื่อให้ชาวบ้านจับปลาได้ แต่ก็ควรกำหนดขอบเขตให้ชัดเจนว่ารถควรวิ่งตรงใหนได้ตรง ไหนไม่ได้ วิธีการเหล่านี้จะช่วยในการคุ้มครองแหล่งที่อยู่อาศัยของนกที่ทำรังบนทุ่งหญ้า บริเวณอ่างเก็บนำบางพระนั้นมีนกไม่ตำกว่า 200 ชนิดซึ่งมีเพียงนักดูนกจริงๆ เท่านั้นถึงจะรู้ว่าที่นี้เป็นสวรรค์ของการดูนกอีกแห่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูหนาวจะมีนกอพยพมาหากิน ตามชายน้ำริมอ่างเป็นจำนวนมาก การกำหนดเขตเพื่อควบคุมกิจกรรมของมนุษย์จึงเป็นแนวทางที่นำไป สู่การอนุรักษ์นกที่นี้ได้

เขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อยจังหวัดพัทลุง และบึงบอระเพ็ดจังหวัดนครสวรรค์เป็น แหล่งดูนกที่หากินในน้ำ เป็นอุทยานนกกรือ "Bird Park" ที่เปิดโล่งตามธรรมชาติ ทั้ง 2 แห่งมีพื้นที่สำหรับ การถ่ายภาพ และการดูนกที่ดีที่สุดเช่นกัน อีกทั้งยังเหมาะสำหรับการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับนิเวศวิทยาของนกที่นี่ถือ ได้ว่าเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ (Wetlands) ที่สำคัญมากของประเทศไทย แต่ที่น่าเสียดายก็คือว่ายังมีปัญหาในการ จัดการอยู่ เช่นที่พรุควนเคร็งปัจจุบันยังมีการบุกรุกพื้นที่ป่าพรุ มีการทำถนนตัดเข้าไปซึ่งถือเป็นการทำลาย ถิ่นหากิน ถิ่นที่อยู่อาศัย ของนก นกทะเลที่น้อยแต่เดิมเคยมีค้อนข้างมาก เมื่อ 20 ปีที่แล้วมีนกจำนวนเป็นหมื่นๆ ตัว แต่ปัจจุบันนก เป็ดน้ำต่างๆ ลดปริมาณลงมากเมื่อพื้นที่ถิ่นที่อยู่อาศัยลดน้อยลงอาหารน้อยลง เพราะการถูกบุกรุกนกก็ จะย้ายถิ่นฐานมีผลโดยตรงต่อการอนุรักษ์นักท่องเที่ยว อุทยานนกในต่างประเทศบางแห่งเขาทำเป็นกรงขนาดใหญ่ที่นกสามารถบินได้ เรียกว่า Aviary ไม่ใช่กรงเล็กๆ อย่างในสวนสัตว์บ้านเรายกเว้นที่สวนสัตว์เปิดเขาเขียว จังหวัดชลบุรี ที่มีกรงขนาดใหญ่บางคนอาจมองว่าเป็นการนำสัตว์มากักขัง

แต่อย่างไรก็ตาม การที่มีกรงนกขนาดใหญ่เช่นนี้ก็มีประโยชน์ในแง่ที่จะ ดึงดูดคนที่ไม่เคยสนใจนก และเพื่อให้ความรู้แก่เยาวชนให้ได้มาเห็นนกใกล้ๆ ได้เห็นสีสันชัดเจนได้เห็น พฤติกรรมของนกจนเกิดความชื่นชอบขึ้น ในที่สุดสิ่งนี้ก็เป็นจุดหนึ่งที่จะช่วยเสริมเรื่องการอนุรักษ์นก ได้เช่นกัน
ที่มา:http://www.waghor.go.th/v1/elearning/nature/Bird&Insect/ie%20bird%20homepage/preserve%20bird.htm

   ลักษณะทั่วไปของนก    

นกเป็นสัตว์ที่เราคุ้นเคยกันดี เสน่ห์อันชวนหลงใหลจากขนแสนสวย เสียงไพเราะ และปีกที่โบกบินอย่างอิสระ ทำให้นกเป็นเพื่อนที่น่ารัก และผูกพันกับมนุษย์มายาวนาน เราเปรียบนกเสมือนตัวแทนชีวิตเสรี เป็นสัญลักษณ์ของเสรีภาพ นกที่ปรากฏตัวในธรรมชาติ ช่วยเติมสีสัน และประดับโลกให้งดงาม ที่สำคัญคือ นกเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศ ที่เอื้อประโยชน์ต่อมนุษย์ และธรรมชาติอย่างมหาศาล

ลักษณะทั่วไปของนก
      นกเป็นสัตว์เลือดอุ่นที่มีกระดูกสันหลัง มีตั้งแต่ขนาดเล็กเท่าแมลง ไปจนถึงสูงใหญ่หลายเมตร อีกทั้งยังมีพฤติกรรมแตกต่างกัน แต่ไม่ว่านกจะมีรูปร่าง และพฤติกรรมต่างกันเพียงใด ทุกชนิดก็มีโครงสร้างร่างกายเหมือนกัน

การจำแนกชนิดของนก

      การจำแนกชนิดเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการดูนก เพราะจะทำให้นักดูนกทราบว่านกที่เห็นเป็นนกชนิดใด มีพฤติกรรมอย่างไร การดูนกคงไม่สนุกแน่ หากไม่สามารถจำแนกชนิดนกที่พบได้ การจำแนกชนิดนกให้ถูกต้องแม่นยำต้องอาศัยประสบการณ์ ซึ่งเกิดจากความพยายามสังเกตลักษณะของนกแต่ละชนิด หมั่นเปิดศึกษาคู่มือ และจดบันทึกรายละเอียด จนกระทั่งสามารถจดจำและจำแนกนกแต่ละชนิด ได้ด้วยตนเองในที่สุด

      การจำแนกตามลักษณะของขนาด และรูปร่าง

           สังเกตนกที่พบว่ามีขนาดเท่าใด โดยเปรียบเทียบกับนกที่รู้จักดีอยู่ก่อนแล้ว เพื่อประมาณขนาดของนกที่พบอย่างคร่าวๆ เช่น นกกระจอกบ้าน

      การจำแนกตามลักษณะของหาง

           ลักษณะของหางช่วยจำแนกชนิดนกได้ เช่น มีหางสั้นหรือยาว เว้าเป็นแฉกหรือตัดตรง มีขนหางบางเส้นยื่นยาวออกมาหรือไม่ มีปีกกว้างหรือยาว ปลายปีกแหลมหรือกลม

      การจำแนกตามลักษณะของปาก

           ลักษณะปากสามารถบอกประเภทหรือวงศ์ของนกได้ เช่น นกกินปลาจะมีปากแหลมยาวตรง นกกินเมล็ดพืชมีปากสั้นแข็งแรง เหยี่ยวมีปากงุ้มแหลมไว้ฉีกเหยื่อ ขนาดและสีของปากยังใช้จำแนกชนิดได้ด้วย

      การจำแนกตามลักษณะของสี และลวดลาย

           สังเกตสีขนปกคลุมสำตัวและลวดลายที่เป็นลักษณะเด่น เช่น คิ้วหรือแถบเหนือตา แถบบนกระหม่อมหรือหน้าผาก วงแหวนรอบตา สีของปาก สีอ่อนหรือเข้ม

                บริเวณส่วนล่างลำตัวสังเกตสีของท้อง แถบหรือลายขีดบนอก สีของขา

                ด้านบนลำตัว สังเกต ขีด จุดหรือลาย มีแถบบนปีกหรือไม่ ซึ่งอาจจะเห็นได้เวลาบิน สีของปีกต่างจากหลังอย่างไร สีบริเวณตะโพก มีแถบหางหรือไม่ สีของปลายหาง

      การจำแนกตามลักษณะของพฤติกรรม

           นกแต่ละชนิดมีท่าทางการแสดงออกและพฤติกรรมแตกต่างกัน ซึ่งสามารถใช้ช่วยจำแนกชนิดนกได้ เริ่มจากสังเกตท่าเกาะพัก ว่านกเกาะในท่าตรงตั้งฉากหรือขยับตัวไปมา ชอบแกว่งหางหรือไม่ กระดกหางขึ้นลงอยู่เสมอหรือชอบแพนหาง

                สังเกตการไต่ต้นไม้ว่านกเกาะตัวตั้งตรงอย่างนกหัวขวานหรือไต่หัวลงอย่างนกไต่ไม้ บินขึ้นลงเป็นลอนคลื่นหรือบินตรงไป ชอบบินร่อนหรือโบกปีกกระพือไปมา

                เสียงร้องของนกก็ช่วยจำแนกชนิดนกได้ แม้ว่าจะไม่เห็นตัวนก สำหรับนกที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่เสียงร้องต่างกัน การสังเกตเสียงร้องต่างกัน การสังเกตเสียงร้องจะช่วยจำแนกนกทั้งสองชนิดออกจากกันได้ง่ายยขึ้น
ที่มา:http://www.waghor.go.th/v1/elearning/nature/Bird&Insect/ie%20bird%20homepage/feature%201.htm

รายชื่อนกที่พบในประเทศไทย

มีนกทั้งสิ้น 982 ชนิดที่มีบันทึกว่าพบในธรรมชาติของประเทศไทย มี 3 ชนิดเป็นนกถิ่นเดียว หนึ่งชนิดเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่นำเข้ามาโดยมนุษย์ และ 45 ชนิดพบเห็นได้ยาก 7 ชนิดในรายชื่อทั้งหมดสูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติแล้วในประเทศไทยซึ่งไม่ได้รวมอยู่ในบทความนี้ และ 49 ชนิดที่ถูกคุกคามทั่วโลกเรียงลำดับวงศ์และชนิดตาม เคลเมนต์ (2000)  และเพิ่มชนิดตาม ร็อบสัน (2004)  และหมอบุญส่ง ชื่อในภาษาไทยอ้างอิงตามหนังสือคู่มือดูนกของหมอบุญส่ง เลขะกุล
ในปี พ.ศ. 2543 มีการประมาณว่านกประจำถิ่น 159 ชนิดและนกอพยพ 23 ชนิดกำลังถูกคุกคามจนใกล้สูญพันธุ์หรือเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ซึ่งมีสาเหตุมาจากการถางป่า การลักลอบตัดไม้อย่างผิดกฎหมาย การล่าสัตว์และการเสื่อมสภาพถิ่นที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะในที่ราบลุ่ม ชนิดที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดเป็นนกน้ำขนาดใหญ่ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชุ่มน้ำซึ่งส่วนใหญ่ได้กลายไปเป็นพื้นที่ทางการเกษตรและชนิดที่อาศัยอยู่ในป่าที่ซึ่งมีการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อการเกษตรและการค้าทำให้พื้นที่ป่าสูญหายไปหรือกลายเป็นป่าเสื่อมโทรม
แหลมผักเบี้ยเป็นถิ่นอาศัยของนกที่น่าพิศวง นกหัวโตหน้าขาว
นกในประเทศไทยเป็นนกชนิดหลักๆของเขตนิเวศอินโดมาลายาซึ่งสัมพันธ์กับอนุทวีปอินเดียในทางตะวันตก และโดยเฉพาะพื้นที่คาบสุมทรทางตอนใต้ถึงเขตชีวภาพซุนดาในทางตะวันออกเฉียงใต้ ภูเขาทางเหนือคือที่ราบสูงทิเบตที่ทอดตัวขวางไว้ซึ่งมีนกภูเขาหลายชนิดและในฤดูหนาวจะมีนกอพยพมาจากทางตะวันออกของเขตนิเวศพาลีอาร์กติกและเทือกเขาหิมาลัย
ประเทศไทยมีชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ ทำให้มีนกถิ่นเดียวเพียงไม่กี่ชนิด บางทีนกที่สวยงามอย่างนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรซึ่งพบเพียงแห่งเดียวในประเทศไทยในช่วงฤดูหนาว อาจสูญพันธุ์ไปแล้วก็ได้
https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/e/e4/Thailandsand_Laem_Pak_Bia.jpg/https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/3/36/Sparrow.jpg/

ที่มา:https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9E%E0%B8%9A%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2

สัตว์ปีก

ในประเทศไทยนิยมตั้งเป็นชื่อทายาท
สัตว์ปีก หรือ นก (รวมถึง ไก่, เป็ด, ห่าน, ไก่ฟ้า) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้น Aves (คำว่า Aves เป็นภาษาละติน หมายถึง นก) โดยมีลักษณะทั่วไปคือ เป็นสัตว์ทวิบาท เลือดอุ่น ออกลูกเป็นไข่ รยางค์คู่หน้าเปลี่ยนแปลงไปเป็นปีก มีขนนก และมีกระดูกที่กลวงเบา
  ในปัจจุบันทั่วโลกมีนกอยู่ประมาณ 8,800 ถึง 9,800 ชนิด (ตามการจัดอนุกรมวิธานที่ต่างกัน) ซึ่งนับว่านกเป็นชั้นของสัตว์มีกระดูกสันหลังที่มีความหลากหลายมากที่สุด ในบรรดาชั้นของสัตว์มีกระดูกสันหลังทั้งหลายที่อาศัยอยู่บนพื้นดิน ความหลากหลายของนกนับเนื่องไปตั้งแต่ในเรื่องของขนาดตัว สีสัน เสียงร้อง อาหารการกิน และถิ่นที่อยู่อาศัย
   นกเป็นสัตว์ที่มีความสำคัญเป็นอันมากทั้งต่อระบบนิเวศและต่อชีวิตมนุษย์ ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับนกเป็นไปอย่างแน่นแฟ้น และการเกื้อกูลกันระหว่างนกกับสรรพสิ่งต่างๆ ตามธรรมชาติก็เป็นไปอย่างแนบแน่น ถ้าหากปราศจากนก คงเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการถึงการดำรงอยู่ต่อไปของชีวภาคใบนี้
วิวัฒนาการ
https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/7/73/Archaeopteryx_bavarica_Detail.jpg/
นกมีความคล้ายคลึงกับไอฟิสสัตว์เลื้อยคลานหลายประการ เช่น โครงสร้างของกระดูกและกล้ามเนื้อ เกล็ดที่ขา การออกลูกเป็นไข่ และการเจริญเติบโตของตัวอ่อน จึงเชื่อกันว่านกในปัจจุบันถือกำเนิดมาจากสัตว์เลื้อยคลาน
ยิ่งไปกว่านั้น มีหลักฐานซากดึกดำบรรพ์จำนวนมากยืนยันว่านกมีวิวัฒนาการมาจากไดโนเสาร์เทอโรพอด ตัวอย่างเช่น ซากดึกดำบรรพ์อาร์คีออปเทอริกซ์ที่ค้นพบในแคว้นบาวาเรีย ประเทศเยอรมนี เมื่อปี ค.ศ. 1861 ซากดึกดำบรรพ์นี้มีอายุประมาณ 150 ล้านปี บ่งบอกว่าอาร์คีออพเทอริกซ์อาศัยอยู่ในยุคจูแรสสิก และมีลักษณะกึ่งนกกึ่งเทอโรพอด โดยอาร์คีออพเทอริกซ์ต่างจากนกในปัจจุบันตรงที่มีสามเล็บยื่นออกมาจากอุ้งมือ มีฟันที่ปาก และมีกระดูกหางยาว แต่ขณะเดียวกันบริเวณลำตัวก็มีขนนกปกคลุม ทำให้นักปักษีวิทยาเชื่อว่าอาร์คีออพเทอริกซ์น่าจะเป็นบรรพบุรุษของนกในปัจจุบัน
เมื่อเร็วๆ นี้ได้มีการค้นพบซากดึกดำบรรพ์คริพโทโวแลนส์ที่ประเทศจีน ซึ่งมีสันที่กระดูกอก และส่วนยื่นรูปตะขอที่ซี่โครง ซากดึกดำบรรพ์คริพโทโวแลนส์จึงนับว่ามีความเป็นนกมากกว่าซากดึกดำบรรพ์ใดๆ ที่เคยค้นพบ
กายวิภาคเพื่อการบิน
ทุกส่วนในร่างกายของนกถูกดัดแปลงเพื่อให้เหมาะสมกับการเป็นเจ้าเวหาอย่างแท้จริง เริ่มจากกระดูก ที่ภายในมีลักษณะกลวงคล้ายรวงผึ้ง ทำให้เบาแต่แข็งแรง นกบางชนิดในวงศ์นกโจรสลัด เมื่อกางปีกจะกว้างถึง 2 เมตร แต่น้ำหนักกระดูกทั้งหมดเพียงแค่ 113 กรัมเท่านั้น
นอกจากนี้อวัยวะภายในบางอย่างของนกจะถูกตัดทอนออกไปเพื่อลดน้ำหนักตัวให้ได้มากที่สุด เช่นรังไข่ของตัวเมียที่เหลือเพียงข้างเดียว และปากที่ไร้ฟัน โดยนกจะไม่เคี้ยวอาหาร แต่กลืนลงไปย่อยในกึ๋นแทน
การบินของนกต้องใช้พลังงานจากเมแทบอลิซึมเป็นอย่างมาก นกจึงมีระบบหายใจและระบบหมุนเวียนโลหิตอันทรงประสิทธิภาพ จากหัวใจที่มี 4 ห้อง และท่อที่เชื่อมต่อระหว่างปอดกับถุงลมทั่วลำตัว
เพื่อความปลอดภัยในการบิน นกจึงต้องมีสัมผัสอันว่องไว โดยเฉพาะสัมผัสทางสายตา นกบางชนิดมีสายตาอันคมกริบ อาจกล่าวได้ว่าเป็นสายตาที่ดีที่สุดในบรรดาสายตาของสัตว์มีกระดูกสันหลังด้วยกัน สมองส่วนรับภาพของนกพัฒนาไปมาก เช่นเดียวกับสมองส่วนควบคุมการเคลื่อนไหว เพราะการบินที่ดีต้องอาศัยการประสานงานที่ดีของทุกส่วนในร่างกายนั่นเอง
สิ่งที่ขาดไปไม่ได้สำหรับการบินคือ ปีก นกมีปีกที่เป็นไปตามหลักอากาศพลศาสตร์ ซึ่งช่วยให้เกิดแรงยกขณะบิน ในการกระพือปีก นกจะใช้กล้ามเนื้ออกอันแข็งแรงที่ติดอยู่กับกระดูกอก นกที่บินเร็วที่สุดคือนกในวงศ์นกแอ่นบินเร็ว ซึ่งบินได้เร็วถึง 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ส่วนขนนกนั้นนับว่าเป็นพัฒนาการที่พิเศษสุดอย่างหนึ่งในบรรดาพัฒนาการของสัตว์มีกระดูกสันหลัง ขนนกเป็นส่วนประกอบของเคราติน มีลักษณะเบาแต่แข็งแรง ขนนกช่วยป้องกันนกจากแสงแดด ช่วยในการหาคู่ ช่วยในการปรับอุณหภูมิของร่างกาย และที่สำคัญที่สุดคือช่วยในด้านการบินของนก

ความเป็นอยู่
อาหารการกิน
ในแต่ละวันนกต้องการอาหารจำนวนมากเพื่อนำไปใช้ในกระบวนการเมแทบอลิซึม (metabolism) โดยนกแต่ละชนิดจะหาอาหารที่แตกต่างกันออกไป นกบางชนิดเลี้ยงชีพด้วยน้ำต้อย บางชนิดเลี้ยงชีพด้วยธัญพืช แมลง สัตว์พวกหนู สัตว์พวกกิ้งก่า ปลา ซากเน่า ไปจนถึงนกด้วยกัน นกจะพัฒนารูปร่าง ปีก ขา และปาก ให้มีลักษณะเหมาะสมกับการหาอาหาร นกส่วนใหญ่เป็นสัตว์ที่หากินในเวลากลางวัน มีนกเพียงบางชนิดเท่านั้นที่หากินในเวลากลางคืน
นกบางชนิดหากินร่วมกันเป็นฝูง เช่น ฝูงนกนางนวลที่บินร่อนหาปลาตามชายทะเล หรือฝูงนกเป็ดน้ำรวมตัวกันแหวกว่ายอยู่ในบึง ซึ่งการหากินร่วมกันเป็นฝูงใหญ่ช่วยให้นกหาอาหารง่ายขึ้นและได้ปริมาณมากกว่าหากินตามลำพัง รวมทั้งยังช่วยกันระวังภัยได้เป็นอย่างดี
ส่วนนกบางชนิดก็มีพฤติกรรมการหาอาหารร่วมกับสัตว์อื่น เช่น นกเอี้ยงที่หากินร่วมกับวัวควาย โดยนกเอี้ยงจะคอยจับแมลงที่พากันบินหนีขึ้นมาเมื่อวัวควายเดินย่ำไปบนดิน นอกจากนี้นกเอี้ยงยังชอบเกาะบนตัววัวควายเพื่อจับแมลงที่บินตอมตามตัววัวควายอีกด้วย

ถิ่นอาศัย
นกแต่ละชนิดมีการปรับตัวให้เหมาะสมกับถิ่นอาศัยต่างๆ เราจึงสามารถพบนกได้ทุกหนทุกแห่งในสภาพแวดล้อมอันหลากหลาย ซึ่งพอจะแบ่งถิ่นอาศัยของนกได้ดังนี้
บริเวณชายหาดและท้องทะเล
มีนกหลายชนิดที่เดินหากินตามแนวหาดทรายชายทะเล เช่น นกหัวโตมลายู และ นกยางทะเล เป็นต้น ขณะที่นกหลายชนิดโผผินบินร่อนอยู่ตามหน้าผาริมทะเล หรือแม้แต่ในทะเลลึกก็เป็นแหล่งหากินของนกขนาดใหญ่ เช่น นกโจรสลัด ซึ่งนกโจรสลัดสามารถบินวนอยู่บนท้องฟ้าได้เป็นเวลาหลายวันโดยไม่ต้องร่อนลงบนพื้นดิน โดยนกที่หากินในท้องทะเลนี้ เรามักเรียกว่า นกทะเล
บริเวณป่าชายเลนและปากแม่น้ำ
ตามแนวชายฝั่งที่มีไม้ชายเลนขึ้นหนาแน่นเป็นถิ่นอาศัยของนกมากมาย เช่น นกกินเปี้ยว และ เหยี่ยวแดง เป็นต้น โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวจะมีนกอพยพย้ายถิ่นเข้ามาพักอาศัยเป็นจำนวนมาก นกที่หากินตามป่าชายเลนนี้มีชื่อเรียกโดยรวมว่า นกชายเลน นอกจากนี้ก็มีฝูงนกนางนวลซึ่งเป็นนกทะเลหากินบริเวณนี้ด้วย
บริเวณทุ่งหญ้า ที่ลุ่มน้ำขัง และหนองบึง
พื้นที่เกษตรกรรมแถบชานเมืองหรือในชนบทเป็นที่อยู่ของนกหลายชนิด นกที่อาศัยอยู่ตามทุ่งนาหรือทุ่งหญ้าโล่ง เรามักเรียกกันว่า นกทุ่ง เช่น นกตะขาบทุ่ง นกกระจิบหญ้า เป็นต้น ส่วนนกที่อาศัยตามแหล่งน้ำ เช่น หนอง บึง ทะเลสาบ เรามักเรียกว่า นกน้ำ เช่น นกยาง นกเป็ดน้ำ และ นกกวัก เป็นต้น
ป่าไม้ประเภทต่างๆ
ถือว่าเป็นสถานที่ที่มีนกอาศัยอยู่มากกว่าแห่งอื่น เนื่องจากเหมาะสำหรับการดำรงชีวิตของนกนานาชนิด เช่น นกเงือก นกขุนแผน นกโพระดก และ นกแต้วแล้ว เป็นต้น นกที่อาศัยหากินในป่ามีชื่อเรียกโดยรวมว่า นกป่า
สภาพแวดล้อมอื่นๆ
นกบางชนิดมีการปรับตัวจนสามารถอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แม้แต่สัตว์อื่นยังอาศัยอยู่ได้ยาก เช่น ทะเลทราย ขั้วโลกใต้ หรือแม้แต่ในเมือง
ในปัจจุบันมีการนำดีเอ็นเอมาใช้จัดจำแนกนกแล้ว โดยงานที่สำคัญคือ Sibley & Ahlquist's Phylogeny and Classification of Birds (1990) แต่การจัดจำแนกนกในที่นี้ยึดตาม Handbook of Birds of the World ซึ่งจัดอันดับนกโดยอาศัยลักษณะทางสัณฐานวิทยาเป็นหลัก และแบ่งนกออกเป็นอันดับต่างๆ ดังนี้

Paleognathae
อันดับใหญ่ Paleognathae (ตามรากศัพท์แปลว่า ขากรรไกรแบบเก่า) ประกอบด้วยนกอันดับต่างๆ ดังนี้
อันดับแรไทท์ (Struthioniformes)
อันดับนกไทแนมู (Tinamiformes)
Neognathae
อันดับใหญ่ Neognathae (ตามรากศัพท์แปลว่า ขากรรไกรแบบใหม่) ประกอบด้วยนกอันดับต่างๆ ดังนี้
อันดับห่าน (Anseriformes)
อันดับไก่ (Galliformes)
อันดับนกเพนกวิน (Sphenisciformes)
อันดับนกลูน (Gaviiformes)
อ้นดับนกเป็ดผี (Podicipediformes)
อันดับนกจมูกหลอด (Procellariiformes)
อันดับนกกระทุง (Pelecaniformes)
อันดับนกกระสา (Ciconiiformes)
อันดับเหยี่ยว (Accipitriformes)
อันดับเหยี่ยวปีกแหลม (Falconiformes)
อันดับนกคุ่มแท้ (Turniciformes)
อันดับนกกระเรียน (Gruiformes)
อันดับนกหัวโต (Charadriiformes)
อันดับนกแซนด์เกราส์ (Pteroclidiformes)
อันดับนกพิราบ (Columbiformes)
อันดับนกแก้ว (Psittaciformes)
อันดับนกคัคคู (Cuculiformes)
อันดับนกเค้า (Strigiformes)
อันดับนกตบยุง (Caprimulgiformes)
อันดับนกแอ่น (Apodiformes)
อันดับนกตะขาบ (Coraciiformes)
อันดับนกหัวขวาน (Piciformes)
อันดับนกขุนแผน (Trogoniformes)
อันดับนกโคลี (Coliiformes)

อันดับนกจับคอน (Passeriformes)
ที่มา:https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B9%8C%E0%B8%9B%E0%B8%B5%E0%B8%81

กฏหมายเกี่ยวกับนก

ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 กำหนดให้นกปรอดทั้ง 36 ชนิด ที่พบในเมืองไทย เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองประเภทนกที่ผู้ครอบครองต้องมีใบอนุญาตในการครอบครอง ส่วนการประกวดนกปรอดหัวโขนนั้นต้องปฏิบัติตามประกาศกรมป่าไม้ เรื่องการประกวดแข่งขันนกปรอดหัวโขน ลงวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2541 โดยอธิบดีกรมป่าไม้ที่ระบุว่า

“ผู้ใดจะนำสัตว์ป่าคุ้มครอง ชนิดนกปรอดหัวโขน หรือสัตว์ป่าอื่นๆ เข้าประกวดแข่งขัน จะต้องนำเอกสารการแจ้งการครอบครองตามมาตรา 66 หรือ 67 ซึ่งได้จดแจ้งต่อกรมป่าไม้แล้วภายในเดือนพฤษภาคม 2535 และต้องนำเอกสารดังกล่าวติดตัวสัตว์ป่าไปด้วยทุกครั้ง และผู้ที่นำสัตว์ป่าไปเข้าประกวดแข่งขันจะต้องเป็นผู้ที่มีชื่ออยู่ในเอกสาร ดังกล่าวข้างต้น หรือผู้เข้าประกวดนำสัตว์ป่าคุ้มครองอื่นไปแข่งขัน หรือมีการตกลงกันซื้อขายสัตว์ป่าคุ้มครองภายในสถานที่ประกวด จะมีความผิดตามมาตรา 19 และมาตรา 20 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสี่ปี หรือทั้งจำทั้งปรับไม่เกินสี่ปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
ประกาศกรมป่าไม้
เรื่อง การประกวดแข่งขัน นกกรงหัวจุก
ด้วยปรากฏว่า มีการจัดการประกวดแข่งขันสัตว์ป่าจำพวกนก อันได้แก่ นกทรงหัวจุก หรือนกปรอดหัวโขนเคราแดง ซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง จำพวกนก ลำดับที่ 110 ตามกฏกระทรวง ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2537 ) แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535

กรมป่าไม้ขอประกาศ การประกวดการแข่งขันต้องดำเนินการดังนี้
1. ผู้ใดจะนำสัตว์ป่าคุ้มครอง ชนิดนกปรอดหัวโขน หรือสัตว์ป่าคุ้มครองชนิดอื่น ๆ เข้าประกวดกแข่งขัน จะต้องนำเอกสารการแจ้งการครอบครอง ตามมาตรา 66 หรือมาตรา 67 ซึ่งได้จดแจ้งต่อกรมป่าไม้แล้วภายในเดือนพฤษภาคม 2535 และต้องนำเอกสารดังกล่าวติดตัวสัตว์ป่าไปด้วยทุกครั้ง

2. ผู้นำสัตว์ป่าไปเข้าประกวด แข่งขัน จะต้องเป็นผู้ที่มีชื่ออยู่ในเอกสารดังกล่าวแล้วเท่านั้นจึงจะกระทำได้

3. การที่บุคคลใดนำสัตว์ป่าคุ้มครองที่มิได้ปฏิบัติ ตามข้อ 1. และข้อ 2. หรือผู้เข้าประกวดนำสัตว์ป่าคุ้มครองของผู้แจ้งครอบครองอื่นไปแข่งขัน หรือมีการตกลง ชื้อขายสัตว์ป่าคุ้มครอง ภายในสถานที่ประกวด จะเป็นความผิดตามมาตรา 19 และมาตรา 20 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสี่ปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับจึงประกาศมาให้ทราบโดยทั่วกัน

ประกาศ ณ วันที่ 23 กรกฏาคม พ.ศ. 2541
(นายปลอดประสพ สุรัสวดี)
อธิบดีกรมป่าไม้

ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 6 (พ.ศ.2537) ออกตามความพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535
สัตว์ป่าจำพวกนก จำนวน 16 ชนิด ได้แก่
ไก่จุก (Rollulus rouloul)
ไก่ป่า (Gallus gallus)
ไก่ฟ้าพญาลอ (Lophura diardi)
ไก่ฟ้าหน้าเขียว (Lophura ignita)
ไก่ฟ้าหลังขาว (Lophura nycthemera)
ไก่ฟ้าหลังเทา (Lophura leucomelana)
นกกิ้งโครงคอดำ (Sturnus nigricollis)
นกกระทาดงทุกชนิดในสกุล (Genus) Arborophila
นกกระทาทุ่ง (Francolinus pintadeanus)
นกปรอดหัวโขนเคราแดง (Pycnonotus jocosus)
นกยูง (Pavo muticus)
นกแว่นสีเทา (Polyplectron bicalcaratum)
นกหว้า (Argusianus argus)
นกเอี้ยงสาลิกา (Acridotheres tristis)
นกเอี้ยงหงอนหรือนกเอี้ยงดำ (Acridotheres javanicus)
เป็ดแดง ( Dendrocygna javanica)
ที่มา :http://board.thaipetonline.com/index.php?topic=19878.0;wap2